ประวัติศาตร์ศิลปะ

ประวัติศาตร์ศิลปะ

ประวัติศาตร์ศิลปะ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลป์

ประวัติศาสตร์ศิลปะ แยกได้เป็น 2 คำ คือ ประวัติศาสตร์ (History) และศิลป์ (Art)

  • ประวัติศาสตร์ (History) หมายถึง ความเป็นมาของมนุษย์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบัน
  • ศิลป์ (Art) หมายถึง เป็นความหมายที่กว้างขวางตามแนวของแต่ละคน และเป็นทัศนะของนักปรัชญาในแต่ละยุค แต่ละสมัย ซึ่งศิลปะนั่นก็คือสิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมา เพื่อแสดงออกถึงอารมณ์ ความรู้สึก ปัญญา ความคิด และความงาม

สิ่งที่จะได้รับจากการศึกษาในเรื่องของประวัติศาสตร์ศิลป์

การ เรียนประวัติศาสตร์ศิลป์ นั้นจะสามารถบอกให้เรารู้ถึงการสร้างสรรค์ผลงาน และวิวัฒนาการของศิลปะที่มนุษย์สร้างขึ้นมาตั้งแค่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ไปจนถึงยุคปัจจุบัน หากได้ อ่านประวัติศาตร์ศิลป์ และศึกษาศิลปะแบบอย่างจริงจัง ทั้งความเคลื่นไหวการเปลี่ยนแปลง สร้างสรรค์ของแต่ละยุค เพื่อเป็นรูปแบบในการต่อยอดพัฒนาการสร้างสรรค์ผลงาน ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับของคุณภาพผลงานศิลปะในยุคปัจจุบันให้ดีขึ้นได้ และนอกจากนั้น ประวัติศาตร์ศิลป์ยุคต่างๆ ที่เราทำการศึกษาเรียนรู้ไปนั้น ยังจะช่วยทำให้เกิดความรู้สึกนึกถึงคุณค่าของานศิลปะแต่ละชิ้นอีกด้วย และนอกจากนั้นยังได้รู้ถึงแหล่งที่มาต่างๆ ของมรดกทางวัฒนธรรมของมวลมนุษย์ทั้งโลกจากอดีตมาจนถึงปัจจุบันได้อย่างถูกต้องมากที่สุด

ประวัติศาสตร์ศิลป์ของยุโรป (ศิลปะตะวันตก)

ศิลปะตะวันตก หมายถึง ศิลปะของกลุ่มศิลปินในยุโรป (ปัจจุบันนี้รวมถึงสหรัฐอเมริกา) ซึ่งมีรากฐานมาจากศิลปะของอียิปต์ และกรีก ซึ่งมีวัฒนธรรมที่เป็นยุคโบราณของโลก และได้ถูกพัฒนาขึ้นมาภายใต้ของอิทธพลของกลุ่มศริสศาสนา และเป็นต้นแบบของศิลปะสากลในปัจจุบัน โดยประวัติศาสตร์ของยุโรปแบ่งออกได้กว้างๆ เป็น 4 ยุค คือ

  • ยุคก่อนประวัติศาสตร์ (Pre-Historic)
  • ยุคโบราณ (Ancient Age)
  • ยุคกลาง (Middle Age)
  • ยุคใหม่ (Modern Age)
ยุคก่อนประวัติศาสตร์ (Pre-Historic) จะอยู่ที่ช่วงประมาณ 40,000 ปี – 4,000 ปี ก่อน ค.ศ
ประวัติศาตร์ศิลปะ
  • ศิลปะอียิปต์

เป็นเรื่องราวอารยธรรมของอียิปต์ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อน ค.ศ. ชาวอียิปต์ได้สร้างศิลปวัฒนธรรมขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับปรัชญาในด้านคุณธรรม และสามารถตอบสนองในเรื่องของความเชื่อว่าดวงวิญญาณของคนที่ตายไปนั้นจะกลับมาคืนสู่ร่างใหม่ ดังนั้นแล้วจึงเป็นมูลเหตุที่มาของการทำมัมมี่นั่นเอง และยังมีการจารึกภาพประวัติศาสตร์ด้วยการวาดภาพลงบนผนังไว้ด้วย

ยุคโบราณ (Ancient Age) จะอยู่ช่วงประมาณ 1,400 ปี ก่อน ค.ศ. - ค.ศ. 100
ประวัติศาตร์ศิลปะ
  • ศิลปะตะวันออกไกล้

โดยลักษณะของศิลปกรรมสุเมเรียนมีความแตกต่างจากศิลปกรรมอียิปต์ คือ ในยุคอียิปต์นั้นจะใช้หินเป็นวัสดุในการก่อสร้าง ส่วนสุเมเรียนนั้น จะใช้อิฐเผาก้อนใหญ่ๆ มาเรียงกัน สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่จึงมีอิฐเป็นโครงสร้างหลักนั่นเอง

ประวัติศาตร์ศิลปะ
  • ศิลปะบาบิโลน

ในยุคนี้จะมีสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงอยู่เป็นจำนวนกมาก และเป็นที่รู้จักทั่วไปนั่นก็คือ สวนลอยแห่งบาบิโลน โดยการสร้างสวนให้สูงจากพื้นดินนั้นต้องใช้อิฐซ้อนกันขึ้นไป วางผังลดหลั่นกัน ทำให้มีความสลับซับซ้อน และตามซุ้มประตูต่างๆ ยังประดับไปด้วยแกะภาพสลักขนาดใหญ่ แต่ในปัจจุบันนี้ที่แห่งนี้ได้พังไปหมดแล้ว เหลือเฉพาะตัวฐานบางส่วนเท่านั้น

ประวัติศาตร์ศิลปะ
  • ศิลปะอัสซิเรียน

เป็นงานศิลปกรรมงานแกะสลักที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก และงานแกะสลักที่ดังคือรูปสิงโตกำลังกัดเด็กหนุ่มที่พบในพระราชวังเมืองนิมรุดในอัสซิเรีย ซึ่งงานชิ้นนี้ในปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์บริติชกรุงลอนดอนในประเทศอังกฤษ ส่วนงานสถาปัตยกรรมของอัสซิเรียนจะมีการก่อนอิฐเป็นโครงสร้างหลัก เป็นรูปโค้งเพื่อรับน้ำหนัก และใช้อิฐ หิน ก่อขึ้นเป็นกำแพง และตดแต่งภายในด้วยภาพจิตกรรมฝาผนัง และมีกระเบื้องเคลือบเป็นรูปสิงโตไว้

ประวัติศาตร์ศิลปะ
  • ศิลปะเปอร์เซีย

อารยธรรมของเปอร์เซียนั้นมีชื่อเสียงที่โดดเด่นในด้านสถาปัตยกรรมที่มีการตกแต่งภายในอย่างสวยงาม และมีงานประติมากรรมที่ใช้ในการนำมาตกแต่งสถาปัตยกรรมอีกด้วย เช่น เสาหินวัวคู่ ซึ่งประดับอยู่ที่พระราชวังเมืองเปอร์เซโปลิส อยู่ที่ประเทศอิหร่าน

  • ศิลปะกรีก

ศิลปกรรมของยุคกรีกที่สำคัญๆ นั้นได้แก่ งานสถาปัตยกรรม อาทิเช่น วิหาร สนามกีฬา และสถานที่แสดงอุปรากร ซึ่งวิหารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดนั่นก็คือ วิหารพาร์เธนอน ที่สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว ที่มีความงดงามมาก แม้ว่าจะสร้างมานานมากแล้ว ซึ่งเป็นเวลานานมากกว่า 2,000 ปี โดยภายในตัวอาคารนั้นตกแต่งไปด้วยภาพแกะสลักที่มีความวิจิตรงดงามอย่างมาก (งานสถาปัตยกรรมกรีกแบ่งตามสัญลักษณ์หัวเสา 3 แบบใหญ่ๆ คือ 1. แบบดอริก 2. แบบไอโอนิก 3. แบบคอรินเทียน)

  • ศิลปะโรมัน

ศิลปะโรมันในส่วนใหญ่จะได้รับอิทธิพลจากกรีก ซึ่งจะมีองค์ประกอบที่มีความประณีต งดงาม แต่ศิลปะในยุคของโรมันนั้นจะมีความใหญ่โตมโหฬาร มีความหรูหรา มั่งคงแข็งแรง และสง่างาม ซึ่งสถาปัตยกรรมของโรมันนั้นจะมีชื่อเสียงมาก โดยโรมันยังเป็นชาติแรกที่สามารถคิดค้นสร้างคอนกรีตได้ สามารถใช้คอนกรีตหล่อขึ้นเป็นโครงสร้างรูปโดม ซึ่งช่วยให้การก่อสร้างอาคารมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นได้ โดยสถาปัตยกรรมของโรมันที่มีชื่อเสียงได้แก่ วิหารแพนเธอออน โคลอสเซียม นอกจากนี้สิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกนั่นก็คือ ประตูชัย (Arch of Triumph) และงานจติกรรมของโรมัน ยังมีการค้นพบภาพเขียนฝาผนังที่ยังอยู่ในสภาพที่ดีอีกมากมาย เป็นภาพเขียนสี และประดับด้วยหินสีที่มีความประณีตอย่างสวยงาม

  • ศิลปะไบแซนไทน์

ศิลปะไบแซนไทน์นี้เป็นศิลปะที่มีเอกลักษณ์เชื่อมโยงความคิด และรูปแบบต่างๆ ของตะวันตกกับตะวันออกรวมเข้าด้วยกัน งานสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นของไบเซนไทน์ คือการทำหลังคาเป็นรูปวงกลม ซึ่งต่างจากหลังคาในยุคของศิลปะโรมันที่เป็นรูปโค้ง หลังคากลมแบบไบแซนไทน์ภายนอกจะเรียกว่าโดม ซึ่งสิ่งก่อสร้างที่เป็นแบบฉบับของศิลปะดังกล่าวนั้นได้แก่ โบสถ์เซนต์โซเฟีย ที่ตังอยู่ในกรุงคอนสแตนติโนเปิล และโบสถ์เซนต์มาร์โค อยู่ที่เมืองเวนิส ในประเทศอิตาลี

ยุคกลาง (Middle) จะอยู่ช่วงประมาณ ค.ศ. 300 - ค.ศ. 1300
  • ศิลปะโกติก

ศิลปะโกติกนั้นมักจะแสดงเรื่องราวภาพเขียนทางศาสนาออกไปในแนวเหมือนจริง ไม่ใช่สัญลักษณ์เหมือนศิลปะในยุคก่อนๆ ซึ่งงานสถาปัตยกรรมจะมีโครงสร้างทรงสูง มียอดหอคอยรูปทรงแหลมอยู่ข้างบน ซุ้มประตู หน้าต่าง มีส่วนโค้งแปลกไปกว่างานศิลปะในแบบใดๆ

  • ศิลปะสมัยพื้นฟู

ในยุคสมัยนี้ศิลปินทั้งหลายสร้างสรรค์รูปความงานตามธรรมชาติ และความมงามที่เป็นศิลปะแบบคลาสสิกที่เจริญสูงสุดแล้ว ซึ่งได้มีการพัฒนามาจากศิลปะกรีก และโรมัน โดยความสำคัญของศิลปะในสมัยยุคฟื้นฟูนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการสร้างสรรค์ศิลปะเกือบทุกสาขา โดยเฉพาะเทคนิคการวาดเขียน การใช้องค์ประกอบทางศิลปะ กายวิภาค และการวาดภาพทัศนีวิทยา

  • ศิลปะบารอก และรอกโกโก

ศิลปะบารอก และรอกโกโก นั้นเป็นลักษณะของการจัดองค์ประกอบของศิลปะ ที่เน้นรายละเอียดส่วนย่อย โดยเฉพาะการใช้ส่วนโค้ง ส่วนเว้า งานจิตกรรม และประติมากรรม ก็ยังจะคงเน้นรูปร่าง รูปทรงแบบธรรมชาติอยู่ แต่จะมีการใช้โทนสีที่รุนแรงขึ้น ทางด้านงานสถาปัตยกรรมก็จะประกอบด้วยเส้นโค้งมน มีลวดลายอ่อนช้อย งดงาม อาคารที่ถือเป็นแบบฉบับของศิลปะบารอก และรอกโกก นั้นคือ โบสถ์เซนต์แอกเนส และโบสถ์เซนต์คาร์โล ที่กรุงโรม มนประเทศฝรั่งเศส

ยุคใหม่ (Modern Age) ค.ศ. 1,800 – ปัจจุบัน
  • ศิลปะนีโอคลาสสิก

ในยุคของนีโอคลาสสิกนั้นเป็นรูปแบบของศิลปะที่อยู่ระหว่างสมัยใหม่กับสมัยเก่า ซึ่งภาพที่ศิลปินต่างเขียนออกมานั้นจะสะท้อนเรื่องราวทางอารยธรรม เน้นความสวยงามและสง่าของรูปร่างรูปทรงของตัวคน และส่วนประกอบของภาพนั้นมีขนาดใหญ่ แข็งแรง มั่นคง ใช้สีที่กลมกลืน มีแสงเงาที่งดงาม

  • ศิลปะโรแมนติก

ศิลปะโรแมนติก เป็นศิลปะที่เป็นรอยต่อของนีโอคลาสสิก ที่แสดงถึงเรื่องราวที่ตื่นเต้น เร้าใจ สะเทือนใจและอารมณ์ ซึ่งในยุคนี้ศิลปินแต่ละคนนั้นจะมีความเชื่อที่ว่าศิลปะจะสร้างสรรค์ตัวของมันเองได้ด้วยคุณค่าทางอารมณ์

  • ศิลปะเรียลิสม์

โดยส่วนใหญ่แล้วศิลปินกลุ่มนี้จะมีความเชื่อว่าความจริงทั้งหลายนั้นคือความเป็นอยู่จริงๆ ของชีวิตมนุษย์ ซึ่งในยุคนี้จึงมีศิลปินเขียนรูปภาพที่เป็นประสบการณ์จริงๆ ของมนุษย์ เช่น ความเหลื่อมล้ำในสังคม ความยากจน การปฏิวัติ โดยจะเน้นรายละเอียดของภาพให้เหมือนจริงมากที่สุด

  • ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์

ศิลปินในยุคของอิมเพรสชันนิสม์เริ่มจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบที่เหมือนจริงตามธรรมาชาติออกไป และเปลี่ยนรูปแบบเป้นการเชื่อมโยงที่เน้นไปที่ แสง สี และบรรยากาศ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการเขียนภาพแบบความประทับใจในช่วงเวลานั้นๆ

  • ศิลปะโพสต์อิมเพรสชันมิสม์

ศิลปะโพสต์อิมเพรสชันมิสม์นั้นจะไม่ได้เรียนแบบจากสิ่งที่เป็นจริง ซึ่งจะเป็นการสร้างรูปทรงแบบใหม่ และนำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการเขียนภาพ อาทิเช่น การระบายสีด้วยเทคนิคขีดๆ จุดๆ แต้มๆ ที่เน้นสี แสง และเงาให้เกิดมิติขึ้น โดยบรรยากาศจะให้ทั้งบรรยากาศ และความประทับใจแบบอิมเพรสชันนิสม์

  • ศิลปะลัทธิโฟวิสซึม

เป็นการแสดงออกของงานศิลปะที่ใช้สีที่สดใสรุนแรง

  • ศิลปะนามธรรม

เป็นงานศิลปะที่ไม่แสดงรูปทรงเหมือนจริง แต่จะถ่ายทอดออกมาเป็นเรื่องของการใช้สี พลัง และความรู้สึก

  • ศิลปะคิวบิสม์

ศิลปะคิวบิสม์นั้นจะเป็นศิลปะแบบกึ่งนามธรรมที่แสดงออกด้วยการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของปริมาตร มีความสวยงาม และมีหลักของสุนทรียศาสตร์ที่แท้จริง

การศึกษาเรียนรู้ในเรื่องของประวัติศิลปะ มีดีกว่าที่คิด

สำหรับคนที่กำลังสนใจศึกษาในเรื่องของ ประวัติศาตร์ศิลป์มีอะไรบ้าง ทางเรานั้นก็ได้นำข้อมูลเบื้องต้นมาให้ได้เรียนรู้ได้ศึกษากัน เพื่อนำไปต่อยอดในการค้นคว้าการทำงานศิลปะที่ชื่นชอบได้ และยังได้รู้ที่มาที่ไปของแต่ละยุคสมัย ว่าเป็นอย่างไรบ้าง นี่จึงเป็นข้อดีของการศึกษาหาความรู้ ที่สำคัญยังสามารถเรียนรู้ได้ทั้งบุคคนทั่วไป และนักเรียน นักศึกษาที่กำลังสนใจเที่จะเรียนกี่ยวกับศิลปะอีกด้วย

อ่านบทความเกี่ยวกับศิลปะเพิ่มเติมได้ที่ : https://artisworlds.com/